พลังงานแสงอาทิตย์

พลังงานแสงอาทิตย์ถูกใช้งานอย่างมากแล้วในหลายส่วนของโลก และมีศักยภาพในการผลิตพลังงานมากกว่าการบริโภคพลังงานของโลกในปัจจุบันหลายเท่าหากใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม พลังงานแสงอาทิตย์สามารถใช้โดยตรงเพื่อผลิตไฟฟ้าหรือสำหรับทำความร้อน หรือแม้แต่ทำความเย็น ศักยภาพในอนาคตของพลังงานแสงอาทิตย์นั้นถูกจำกัดโดยแค่เพียงความเต็มใจของเราที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้
มีวิธีการมากมายที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์มาใช้งานได้ พืชเปลี่ยนแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทางเคมีโดยใช้การสังเคราะห์แสง เราใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้โดยการกินพืชและเผาฟืน อย่างไรก็ตามคำว่า "พลังงานแสงอาทิตย์" หมายถึงการเปลี่ยนแสงอาทิตย์โดยตรงมากกว่าเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนหรือพลังงานไฟฟ้าสำหรับใช้งาน ประเภทพื้นฐานของพลังงานแสงอาทิตย์ คือ "พลังความร้อนแสงอาทิตย์" และ "เซลล์แสงอาทิตย์"
บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศอังกฤษ พลังงานแสงอาทิตย์สามารถผลิตไฟฟ้าและน้ำร้อนเพื่อใช้ในประเทศได้
บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศอังกฤษ พลังงานแสงอาทิตย์สามารถผลิตไฟฟ้าและน้ำร้อนเพื่อใช้ในประเทศได้
เซลล์แสงอาทิตย์
กระบวนการของเซลล์แสงอาทิตย์คือการผลิตไฟฟ้าจากแสง ความลับของกระบวนการนี้คือการใช้สารกึ่งตัวนำที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อปล่อยประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็นอนุภาคที่ถูกชาร์จที่ขั้วลบ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของไฟฟ้า
สารกึ่งตัวนำที่ใช้กันมากที่สุดในเซลล์แสงอาทิตย์คือซิลิกอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่พบโดยทั่วไปในทราย เซลล์แสงอาทิตย์ทุกชิ้นมีสารกึ่งตัวนำดังกล่าว 2 ชั้น ชั้นหนึ่งถูกชาร์จที่ขั้วบวก อีกชั้นหนึ่งถูกชาร์จที่ขั้วลบ เมื่อแสงส่องมายังสารกึ่งตัวนำ สนามไฟฟ้าที่แล่นผ่านส่วนที่ 2 ชั้นนี้ตัดกันทำให้ไฟฟ้าลื่นไหล ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสลับ ยิ่งแสงส่องแรงมากเท่าใด ไฟฟ้าก็ลื่นไหลมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นระบบเซลล์แสงอาทิตย์จึงไม่ต้องการแสงอาทิตย์ที่สว่างในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังผลิตไฟฟ้าในวันเมฆมากได้ด้วยเนื่องจากผลิตไฟฟ้าได้สัดส่วนกับความหนาแน่นของเมฆ นอกจากนี้ วันที่มีเมฆน้อยยังผลิตพลังงานได้สูงขึ้นกว่าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากเมฆ เนื่องจากแสงอาทิตย์สะท้อนมาจากเมฆ
เป็นเรื่องปกติในปัจจุบันที่จะใช้เซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็กมากให้พลังงานให้กับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องคิดเลข นอกจากนี้เซลล์แสงอาทิตย์ยังใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ที่ไม่มีสายส่งไฟฟ้า เราได้พัฒนาตู้เย็นที่เรียกว่าความเย็นจากแสงอาทิตย์ (Solar Chill) ที่สามารถปฏิบัติงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากทดสอบแล้วจะถูกนำไปใช้ในองค์กรสิทธิมนุษยชนเพื่อช่วยให้บริการวัคซีนในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า และจะถูกนำไปใช้โดยผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพาสายส่งไฟฟ้าเพื่อรักษาความเย็นของอาหาร
นอกจากนี้ สถาปนิกยังใช้เซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้นโดยใช้เป็นคุณลักษณะสำคัญของการออกแบบ ตัวอย่างเช่น หลังคากระเบื้องหรือหินชนวนติดเซลล์แสงอาทิตย์สามารถใช้แทนวัสดุทำหลังคาที่ใช้กันทั่วไป ฟิล์มแบบบางที่ยืดหยุ่นสามารถนำไปประกอบเข้ากับหลังคารูปโค้งได้ ในขณะที่ฟิล์มกึ่งโปร่งแสงทำให้เกิดการผสมผสานแสงเงาเข้ากับแสงในตอนกลางวัน นอกจากนี้เซลล์แสงอาทิตย์ยังสามารถผลิตพลังงานสูงสุดให้กับอาคารในวันอากาศร้อนในฤดูร้อนเมื่อระบบปรับอากาศต้องใช้พลังงานมากที่สุด ดังนั้นจึงช่วยลดภาวะไฟฟ้าเพิ่มปริมาณขึ้นสูงสุด
เซลล์แสงอาทิตย์ทั้งขนาดใหญ่และเล็กสามารถผลิตพลังงานให้กับสายส่งไฟฟ้า หรือทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากแสงอาทิตย์
ฟาร์มเซลล์แสงอาทิตย์ในแคลิฟอร์เนีย
ฟาร์มเซลล์แสงอาทิตย์ในแคลิฟอร์เนีย
กระจกขนาดใหญ่รวมแสงอาทิตย์ให้อยู่ในเส้นหรือจุดเดียว ความร้อนที่ถูกสร้างขึ้นนี้ใช้ผลิตไอน้ำ จากนั้นไอน้ำที่ร้อนและมีแรงดันสูงให้พลังงานกับใบพัด ซึ่งทำให้เกิดไฟฟ้า ในภูมิภาคที่แสงอาทิตย์ร้อนแรงมาก โรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากแสงอาทิตย์สามารถรับประกันได้ว่าจะมีการแบ่งกันผลิตไฟฟ้าได้ปริมาณมากเท่าๆ กัน
จากความสามารถในการผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันที่เพียง 354 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่มีความสามารถในการผลิตอยู่ตัวแล้วจะผลิตไฟฟ้าได้เกิน 5,000 เมกะวัตต์ ภายในพ.ศ. 2558 ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ความสามารถในการผลิตเพิ่มเติมจะเพิ่มขึ้นเกือบถึง 4,500 เมกะวัตต์ต่อปี ภายในพ.ศ. 2563 และพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่มีความสามารถในการผลิตอยู่ตัวแล้วทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นไปถึงเกือบ 30,000 เมกะวัตต์ ซึ่งมากพอที่จะจ่ายไฟฟ้าให้กับบ้าน 30 ล้านหลัง
การทำความร้อนและการทำความเย็นจากแสงอาทิตย์
การทำความร้อนจากแสงอาทิตย์ใช้ความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยตรง ตัวสะสมความร้อนจากแสงอาทิตย์บนหลังคาของคุณสามารถผลิตน้ำร้อนสำหรับบ้านคุณได้ และช่วยให้ความร้อนแก่บ้านของคุณ ระบบความร้อนจากแสงอาทิตย์มีพื้นฐานอยู่บนหลักการง่ายๆ ที่รู้จักกันมาหลายศตวรรษ นั่นคือ ดวงอาทิตย์ทำความร้อนให้น้ำที่อยู่ในท่อทึบแสง ปัจจุบันเทคโนโลยีความร้อนจากแสงอาทิตย์ในตลาดมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือสูง และผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับอุปกรณ์จำนวนมาก ตั้งแต่น้ำร้อนและการทำความร้อนในอาคารพักอาศัยและอาคารพาณิชย์ ไปจนถึงการทำความร้อนในสระว่ายน้ำ การทำความเย็นโดยใช้แสงอาทิตย์ การทำความร้อนในกระบวนการอุตสาหกรรม และ การกำจัดความเค็มของน้ำดื่ม
การผลิตน้ำร้อนในครัวเรือนเป็นการใช้งานความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน ในบางประเทศการผลิตน้ำร้อนเป็นเรื่องทั่วไปในอาคารพักอาศัย พลังงานแสงอาทิตย์สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำร้อนได้เกือบถึง 100%  ขึ้นอยู่กับสภาพและการกำหนดองค์ประกอบของระบบ ระบบที่ใหญ่กว่าสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานปริมาณมากสำหรับการทำความร้อนในสถานที่ เทคโนโลยีประเภทหลัก 2 ประเภท ได้แก่
ท่อสูญญากาศ - ตัวดูดซับข้างในท่อสูญญากาศดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์และทำความร้อนให้กับของเหลวข้างใน เหมือนกับตัวดูดซับในแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบแบน ตัวสะท้อนแสงด้านหลังท่อเป็นตัวดูดซับลำแสงเพิ่มเติม ไม่ว่าดวงอาทิตย์จะอยู่ในองศาใด ท่อสูญญากาศรูปทรงกลมจะช่วยให้แสงอาทิตย์เดินทางไปยังตัวดูดซับได้โดยตรง แม้แต่ในวันเมฆมากที่แสงเข้ามาในหลายองศาพร้อมกันแต่ตัวดูดสะสมแสงของท่อสูญญากาศก็ยังมีประสิทธิภาพมาก
ตัวสะสมแสงอาทิตย์ของแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบแบน - กล่าวง่ายๆ ตัวสะสมแสงเป็นกล่องที่มีฝาเป็นกระจก ที่ตั้งอยู่บนหลังคาเหมือนหน้าต่างบนหลังคา ในกล่องนี้มีชุดท่อทองแดงที่มีปีกทองแดงติดอยู่ โครงสร้างทั้งหมดถูกเคลือบด้วยสารสีดำที่ออกแบบมาเพื่อดูดลำแสงอาทิตย์ ลำแสงอาทิตย์เหล่านี้ทำให้น้ำร้อนขึ้น และป้องกันการเยือกแข็งของส่วนผสมที่ไหลเวียนจากตัวสะสมแสงลงไปยังเครื่องทำน้ำร้อนในห้องใต้ดิน
เครื่องทำความเย็นด้วยแสงอาทิตย์ - เครื่องทำความเย็นจากแสงอาทิตย์ใช้พลังงานความร้อนเพื่อผลิตความเย็น และ/หรือทำความชื้นให้กับอากาศในวิธีเดียวกับตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศทั่วไป อุปกรณ์นี้เหมาะสมกับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์อย่างยิ่ง เนื่องจากความต้องการความเย็นมีมากที่สุดเมื่อมีแสงอาทิตย์ส่องมากที่สุด การทำความเย็นจากดวงอาทิตย์ได้รับการทดสอบการใช้งานอย่างประสบความสำเร็จมาแล้ว และในอนาคตคาดว่าจะมีการใช้งานในวงกว้าง เนื่องจากราคาของเทคโนโลยีนี้ถูกลง โดยเฉพาะราคาของระบบขนาดเล็ก
ลงมือทำ
เลือกเป็นส่วนหนึ่งของทางออกด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ดูลิงก์ข้างล่างเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม หรือไปหน้า ลงมือทำ เพื่อดูว่าคุณสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร
เยาวชนยุคพลังงานสะอาด - เว็บไซต์นักกิจกรรมเยาวชน
         รายงานเยาวชนยุคพลังงานสะอาด - ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับประชาชนมากกว่า 1 พันล้านคน และให้งานทำสำหรับ 2 พันล้านคนภายในพ.ศ. 2563 (ไฟล์ PDF)

พลังงานความร้อน

tec03270251p2.jpg

พลังงานความร้อน


  • แหล่งกำเนิด

เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงาน มนุษย์เราได้พลังงานความร้อนมาจากหลายแห่งด้วยกัน เช่น จากดวงอาทิตย์, พลังงานในของเหลวร้อนใต้พื้นพิภพ , การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง,พลังงานไฟฟ้า, พลังงานนิวเคลียร์, พลังงานน้ำในหม้อต้มน้ำ, พลังงานเปลวไฟผลของความร้อนทำให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น อุณหภูมิสูงขึ้น หรือมีการเปลี่ยนสถานะไป และนอกจากนี้แล้วพลังงานความร้อนยังสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้อีกด้วยหน่วยที่ใช้วัดปริมาณความร้อน คือ แคลอรี่ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แคลอรี่มิเตอร์
  • ประโยชน์,การใช้พลังงานความร้อน

พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้านดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วก็อาจมีผลกระทบได้ เช่นเดียวกับการใช้พลังงานชนิดอื่น ดังนั้นการนำมาใช้จึงต้องเตรียมศึกษาและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย กระนั้นก็ตามเป็นที่น่ายินดีว่าการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเ

ทือน ที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ผลกระทบที่จะมีก็เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ดังที่ทำกันได้ผลแล้วในประเทศต่างๆ

  • ข้อเสีย

สภาพความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมส่วนใหญ่ อาจกล่าวได้ว่ามีสาเหตุมาจากการผลิตและการใช้พลังงานของมนุษย์แทบทั้งสิ้น ดังนั้นการเสาะแสวงหาทรัพยากรพลังงานมาเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่สูงขึ้นเรื่อยๆจึงควรระมัดระวังและพิจารณาให้รอบคอบก่อนนำมาใช้ นักสิ่งแวดล้อมได้กล่าวถึงผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรพลังงาน ดังนี้ 

1) ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ล้มตาย 
2) ทำให้สิ่งของและทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย 
3) ทำลายสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต 
4) เกิดมลภาวะทั้งทางดิน น้ำและอากาศ 

พลังงานน้ำ


                        


ลังงานน้ำ เป็นรูปแบบหนึ่งการสร้างกำลังโดยการอาศัยพลังงานของน้ำที่เคลื่อนที่ ปัจจุบันนี้พลังงานน้ำส่วนมากจะถูกใช้เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้แล้วพลังงานน้ำยังถูกนำไปใช้ในกรมชลประทาน การสี การทอผ้า และใช้ในโรงเลื่อย พลังงานของมวลน้ำที่เคลื่อนที่ได้ถูกมนุษย์นำมาใช้มานานแล้วนับศตวรรษ โดยได้มีการสร้างกังหันน้ำ (Water Wheel) เพื่อใช้ในการงานต่างๆ ในอินเดีย และชาวโรมันก็ได้มีการประยุกต์ใช้เพื่อใช้ในการโม่แป้งจากเมล็ดพืชต่างๆ ส่วนผู้คนในจีนและตะวันออกไกลก็ได้มีการใช้พลังงานน้ำเพื่อสร้าง Pot Wheel เพื่อใช้ในวิดน้ำเพื่อการชลประทาน โดยในช่วงทศวรรษ 1830 ซึ่งเป็นยุคที่การสร้างคลองเฟื่องฟูถึงขีดสุด ก็ได้มีการประยุกต์เอาพลังงานน้ำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนเรือขึ้นและลงจากเขา โดยอาศัยรางรถไฟที่ลาดเอียง (Inclined Plane Railroad : Funicular) โดยตัวอย่างของการประยุกต์ใช้แบบนี้ อยู่ที่คลอง Tyrone ในไอร์แลนด์เหนือ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการประยุกต์ใช้พลังงานน้ำในยุคแรกนั้นเป็นการส่งต่อพลังงานโดยตรง (Direct Mechanical Power Transmission) ทำให้การใช้พลังงานน้ำในยุคนั้นต้องอยู่ใกล้แหล่งพลังงาน เช่น น้ำตก เป็นต้น ปัจจุบันนี้ พลังงานน้ำได้ถูกใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้า ทำให้สามารถส่งต่อพลังงานไปใช้ในที่ที่ห่างจากแหล่งน้ำได้พลังงานน้ำเกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ให้ความร้อนแก่น้ำและทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำลอยตัวสูงขึ้น มวลน้ำที่อยู่สูงขึ้นจากจุดเดิม (พลังงานศักย์) เมื่อมวลไอน้ำกระทบความเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นของเหลวอีกครั้ง และตกลงมาเนื่องจากเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก (พลังงานจลน์) การนำเอาพลังงานน้ำมาใช้ประโยชน์ทำได้โดยการเปลี่ยนพลังงานจลน์ของน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำให้เป็นกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนนี้คือ กังหันน้ำ (Turbines) น้ำที่มีความเร็วสูงจะผ่านเข้าท่อแล้วถ่ายทอดพลังงานจลน์เข้าสู่กังหันน้ำ ซึ่งจะไปหมุนขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีกทอดหนึ่ง ในปัจจุบันพลังงานที่ได้จากแหล่งน้ำที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือ พลังงานน้ำตก พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง พลังงานคลื่น

พลังงานลม


พลังงานลม ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เป็นเทคโนโลยีที่ลวงตาว่าเรียบง่าย เบื้องหลังอาคารสูง เพรียว และใบพัดที่หมุนอย่างสม่ำเสมอ คือ วัสดุน้ำหนักเบาที่ทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อน การออกแบบด้านการเคลื่อนไหวของอากาศ และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ พลังงานถูกส่งถ่ายจากปีกหมุน ผ่านเกียร์ ซึ่งบางครั้งปฏิบัติงานในความเร็วที่ไม่แน่นอน จากนั้นส่งไปยังเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (กังหันลมบางตัวไม่ส่งผ่านเกียร์แต่ใช้การขับเคลื่อนโดยตรงแทน)
พลังงานลมในปัจจุบัน
2 ทศวรรษแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดกังหันลมที่ทันสมัยที่มีอุปกรณ์ทำงานร่วมกันได้และติดตั้งได้รวดเร็ว ในปัจจุบัน กังหันลมสมัยใหม่เพียงตัวเดียวมีพลังมากกว่ากังหันลมขนาดเท่ากันเมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว 100 เท่า และปัจจุบันฟาร์มกังหันลมให้พลังงานมากเท่ากับโรงไฟฟ้าทั่วไป
ภายในต้นพ.ศ. 2546 การติดตั้งพลังงานลมสูงขึ้นสู่ระดับ 40,300 เมกะวัตต์ ซึ่งให้พลังงานมากพอที่จะตอบสนองความต้องการของครัวเรือนทั่วไปในยุโรปประมาณ 19 ล้านครัวเรือน ซึ่งใกล้เคียง 47 ล้านคน
 
สวนกังหันลมนอกชายฝั่งในเดนมาร์ก เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการพัฒนาพลังงานลม
ในขณะที่ตลาดพลังงานลมเติบโต พลังงานลมมีค่าใช้จ่ายในการผลิตลดลง 50% ใน 15 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันกังหันลมในสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสามารถแข่งขันกับโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน และในบางสถานที่สามารถเป็นคู่แข่งกับก๊าซได้
พลังงานลมภายในพ.ศ. 2563
เนื่องจากพลังงานลมที่ติดตั้งแล้วมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30% ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้อย่างแท้จริงที่จะตั้งเป้าหมายให้ลมผลิตพลังงาน 12% ของพลังงานทั้งโลก ภายในพ.ศ. 2563 ในช่วงที่พลังงานลมผลิตพลังงาน จะสร้างงานให้คน 2 ล้านคน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,700 ล้านตัน
ขนาดและกำลังการผลิตของกังหันลมโดยทั่วไปที่ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทำให้ภายในพ.ศ. 2563 ราคาของพลังงานลมที่ตั้งอยู่ในสถานที่เหมาะสมคาดว่าจะตกลงไปอยู่ที่ 2.45 ยูโรเซ็นต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่า 3.79 ยูโรเซ็นต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในพ.ศ. 2546 เท่ากับ 36% ค่าใช้จ่ายนี้ไม่รวมการเชื่อมต่อกับสายส่งไฟฟ้า แต่มัีนเป็นปัจจัยหนึ่งสำหรับสถานีพลังงานเกือบทุกชนิด ไม่ใช่เพียงพลังงานลม
พลังงานลมหลังพ.ศ. 2563
ทรัพยากรพลังงานลมของโลกมีจำนวนมากมายมหาศาลและกระจายไปเกือบทุกภูมิภาคและประเทศต่างๆ การใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้พลังงานลมสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 53,000 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี ซึ่งมากกว่าความต้องการพลังงานของโลกที่คาดการณ์ไว้ในพ.ศ. 2563 มากกว่า 2 เท่า ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานลมมีโอกาสเติบโตสูงแม้ในหลายทศวรรษจากปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีศักยภาพการผลิตพลังงานลมเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในประเทศได้มากกว่า 3 เท่า
ข้อดีของพลังงานลม
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน นี่เป็นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของการผลิตพลังงานลม นอกจากนี้พลังงานลมยังปราศจากสารก่อมลพิษอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย
- มีความสมดุลด้านพลังงานที่ดีเยี่ยม - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่เกิดจากการผลิต ติดตั้ง และให้บริการของกังหันลมที่มีช่วงอายุโดยเฉลี่ย 20 ปีถูก "ทดแทน" หลังดำเนินการผลิต 3-6 เดือน ซึ่งเท่ากับการผลิตพลังงานมากกว่า 19 ปีโดยแทบไม่มีค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมเลย
- ดำเนินงานได้รวดเร็ว - ฟาร์มกังหันลมสามารถสร้างเสร็จสิ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยใช้รถเครนติดตั้งหอคอยของกังหันลม ส่วนเชื่อมต่อกับปีกหมุน (โครงยึด) และ ใบพัดเหนือฐานคอนกรีตเสริมกำลัง 
ด้วยเงินลงทุนที่เท่ากัน พลังงานลมสร้างงานมากกว่าเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 5 เท่า และผลิตพลังงานได้มากกว่า 2.3 เท่า
- เป็นแหล่งพลังงานที่น่าเชื่อถือและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เนื่องจากลมที่ใช้ขับเคลื่อนกังหันลมไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดกาล และไม่ถูกกระทบโดยราคาของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ขึ้นๆ ลงๆ นอกจากนี้ยังไม่ต้องอาศัยการทำเหมือง ขุดเจาะ หรือ ขนส่งไปยังสถานีจ่ายไฟฟ้า ในขณะที่ราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงขึ้น คุณค่าของพลังงานลมก็สูงขึ้นเช่นกัน ทำให้ค่าใช้จ่ายของการผลิตไฟฟ้าโดยพลังงานลมมีแต่จะลดลง 
นอกจากนี้ในโครงการใหญ่ๆ ที่ใช้กังหันลมขนาดกลางที่ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพ จะมีศักยภาพในการปฏิบัติงาน 98% อย่างสม่ำเสมอโดยอาศัยลม ซึ่งหมายถึงต้องซ่อมแซมเป็นระยะเวลาเพียง 2% ซึ่งเป็นประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าประสิทธิภาพที่คาดหวังได้จากโรงไฟฟ้าทั่วไปอย่างมาก
ความไม่แน่นอนของพลังงานลม
ความไม่แน่นอนของพลังงานลมสร้างปัญหาน้อยกว่าการจัดการสายส่งไฟฟ้าที่ผู้สงสัยในเรื่องนี้ได้คาดไว้มาก ความต้องการพลังงานที่ขึ้นลงไม่แน่นอนและความผิดพลาดจากโรงไฟฟ้าทั่วไปที่จำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นทำให้ต้องอาศัยระบบสายส่งไฟฟ้าที่ยืดหยุ่นมากกว่าพลังงานลม และประสบการณ์การใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่าระบบไฟฟ้าในประเทศสามารถปฏิบัติงานส่งไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ ตัวอย่างเช่น ในคืนวันลมแรง กังหันลมผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 50% ในทางตะวันตกของเดนมาร์ก แต่งานที่มากเช่นนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจัดการได้
นอกจากนี้ การสร้างสายส่งไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงยังลดปัญหาความไม่แน่นอนของลม โดยทำให้ความเร็วลมเปลี่ยนแปลงในหลายๆ พื้นที่ เพื่อทำให้แต่ละที่สมดุลซึ่งกันและกัน
มุ่งไปข้างหน้า
แม้ว่าพลังงานลมจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถรับรองได้ว่าพลังงานลมจะมีอนาคตที่สดใส แม้ว่าปัจจุบันมีการผลิตพลังงานลมแล้วใน 50 ประเทศ แต่ความก้าวหน้าของพลังงานลมจนถึงปัจจุบันเกิดขึ้นจากความพยายามของไม่กี่ประเทศ โดยผู้นำ คือ เยอรมนี สเปน และ เดนมาร์ก ประเทศอื่นๆ จำเป็นต้องปรับปรุงอุตสาหกรรมพลังงานลมอย่างมากหากต้องการบรรลุเป้าหมายทั่วโลก ด้วยเหตุนี้การคาดการณ์ว่าจะมีการใช้พลังงานลม 12% ของพลังงานโลกภายในพ.ศ. 2563 จึงเป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่เป็นเป้าหมาย นั่นคือ เป็นอนาคตที่เป็นไปได้ที่เราสามารถเลือกถ้าเราเต็มใจ

พลังงานชีวมวล




           พลังงานชีวมวล (Biomass Energy) ก็คือ พลังงานที่สะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่เราสามารถนำมาใช้ทำงานได้ เช่น ต้นไม้ กิ่งไม้ หรือเศษวัสดุจากการเกษตรหรืออุตสาหกรรม เช่น แกลบ ฟาง ชานอ้อย ขี้เลื่อย เศษไม้ เปลือกไม้ มูลสัตว์ รวมทั้งของเหลือหรือขยะจากครัวเรือนมนุษย์
เราได้ใช้พลังงานจากชีวมวลมาเป็นเวลานานแล้ว จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ในสัดส่วนที่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย เช่น ตามชนบทก็ยังมีการใช้ไม้ฟืนหรือถ่านในการหุงหาอาหาร
Biomass หรือ ชีวมวล ก็คือสารอินทรีย์ทั่วๆ ไปตามธรรมชาติ สารอินทรีย์เหล่านี้จะเก็บสะสมพลังงานเอาไว้ในตัวของมันเอง รอเวลาให้เรานำเอาไปใช้ผลิตพลังงาน หากเเต่ทว่าเราต้องนำมันมาใช้งานก่อนที่มันจะเปลี่ยนสภาพเป็นเป็นถ่านหินหรือน้ำมันดิบ ซึ่งถ้าเปลี่ยนสภาพไปเเล้วเราจะไม่นับว่าเป็น ชีวมวล เพราะเราจะไม่นับน้ำมันหรือถ่านหินว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ดวงอาทิตย์ นั้นเปรียบเสมือนต้นกำเนิดของพลังงานทดเเทนในทุกๆ ด้าน พลังงานชีวมวล ก็เป็นหนึ่งในพลังงานทดเเทนที่มีเเหล่งกำเนิดจากพระอาทิตย์
จุดเริ่มต้นของพลังงานเริ่มมาจากพืชหรือต้นไม้ได้รับเเสงอาทิตย์ ต้นไม้ก็จะนำเอาพลังงานจากเเสงอาทิตย์นั้นไปใช้
เราคงเคยได้ยินเกี่ยวกับระบบการสังเคราะห์เเสงของต้นไม้ ใบไม้จะเปลี่ยนเเสงอาทิตย์ น้ำ เเละก๊าซคาร์บอน โดยอาศัยสารคลอโรฟิลล์ในใบไม้ (ไอ้เจ้าสีเขียวๆ ในใบไม้ให้เป็นเเป้ง น้ำตาล หรือ คาร์โบไฮเดรตนั้นเอง พลังงานเเสงเเดดไม่ได้หายไปไหน เเค่เปลี่ยนสภาพจากพลังงานพระอาทิตย์ ไปเป็นรูปแบบของพลังพันธเคมี (Chemical-bond) พันธเคมีนี้ก็เหมือนกับตาข่ายที่คอยยึดเหนี่ยวโมเลกุล หรืออะตอมของสสารเอาไว้ เมื่อต้นไม้หรือใบไม้ตายลงพลังงานเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปไหน มันยังคงสะสมอยู่ในซากไม้รอวันที่จะได้ปลดปล่อยออกมา
วิธีการนำเอาพลังงานชีวมวลมาใช้แบบง่ายๆ ก็คือ เรานำเอาซากของต้นไม้และเศษอื่นๆ รวมถึงของเสียจากโรงงานและจากฟาร์มไปยังโรงไฟฟ้าชีวมวล ในโรงผลิตไฟฟ้าจะมีเตาเผาขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเผาไหม้ชีวมวลปลดปล่อยพลังงานที่สะสมอยู่ พลังงานที่สะสมอยู่ในชีวมวลจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นพลังงานความร้อน เเล้วเรานำความร้อนนั้นมาต้มน้ำในหม้อน้ำขนาดใหญ่จนเกิดเป็นไอน้ำ เรานำไอน้ำนั้นมาใช้ในการหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
พลังงานชีวมวลยังไม่หมดเเค่นำเศษไม้มาเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงานเเค่นั้น ยังมีอีกหลายวิธีที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากของที่เราเห็นว่าสิ้นประโยชน์การใช้ไปเเล้ว อาทิเช่น เราสามารถนำก๊าซมีเทนที่เกิดจากการหมักหมมของเศษขยะ มาผลิตเป็นกระเเสไฟฟ้าหรือใช้หุงต้มได้ หรือในบางพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น วัว ควาย หรือ ไก่ ในที่เหล่านี้จะมีมูลของสัตว์มากมาย เราก็สามารถใช้มูลเหล่านี้มาเป็นปุ๋ยเเละผลิตไฟฟ้าอีกด้วย
ท่านคงสงสัยว่าการเผาไหม้ซากไม้จะไม่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอน เเละเป็นภัยต่อสิ่งเเวดล้อมหรือ จริงๆ เเล้วการเผาไหม้ซากไม้ทำให้ก๊าซคาร์บอนที่สะสมอยู่ในซากไม้ปลดปล่อยออกมา เเต่ทว่าเมื่อเราปลูกต้นไม้ใหม่ขึ้นมาทดเเทน ก๊าซคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาก็จะถูกดูดสะสมเก็บเข้าไปในต้นไม้ใหม่ ทำให้เกิดวัฏจักรหมุนเวียนของก๊าซคาร์บอน โดยที่มันจะไม่ลอยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศ



พลังงานฟอสซิล

(Root) 2008731-14-38242.jpg
 พลังงานฟอสซิล
พลังงานฟอสซิลหมายถึง พลังงานของสารเชื้อเพลิงที่เกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมจมอยู่
ใต้พื้นพิภพเป็นเวลานานหลายพันล้านปี โดยอาศัยแรงอัดของเปลือกโลกและความร้อนใต้ผิวโลก มี
ทั้งของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ตามลำดับ แหล่งพลังงานนี้
เป็นแหล่งพลังงนที่สำคัญในการผลิตกำลังไฟฟ้าในปัจจุบัน สำหรับประเทศไทยใช้ในการผลิต
กำลังไฟฟ้าประมาณ 70% ของแหล่งพลังงานทั้งหมด
ในการนำพลังงานฟอสซิลมาใช้เป็นวัตถุดิบ (Fuel) ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะนำมาใช้ใน
3 รูปแบบ คือ ถ่านหิน (Coal) น้ำมันปิโตรเลียม (Petroleum Oil) และก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas)
1. ถ่านหิน ถ่านหินเป็นแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยสารคาร์บอน
มากกว่าร้อยละ 50 โดยน้ำหนัก และมากกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีดำ ถ่าน
หินแบ่งออกตามค่าความร้อนที่ได้และร้อยละของจำนวนคาร์บอนเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินที่มีคุณภาพดีที่สุด ให้ค่าความร้อน
มากกว่า 25,600 กิโลจูลต่อกิโลกรัม โดยมีค่าคาร์บอนคงที่มากกว่าร้อยละ 86
2. บิทูมินัส (Bituminous) เป็นถ่านหินที่ให้ค่าความร้อนมากกว่า 25,600 กิโลจูลต่อ
กิโลกรัม เช่นเดียวกับแอนทราไซต์ แต่มีคาร์บอนคงที่ต่ำกว่าร้อยละ 86
3. ซับบิทูมินัส (Subbituminous) เป็นถ่านหินที่ให้ค่าความร้อนระหว่าง 19,300 ถึง
25,600 กิโลจูลต่อกิโลกรัม และเถ้าที่เหลือจากการเผาไหม้แล้วต้องไม่จับตัวเป็นก้อน
4. ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่มีคุณภาพต่ำสุด ให้ค่าความร้อนระหว่าง 7,000
ถึง 19,300 กิโลจูลต่อกิโลกรัม
ถ่านหินที่พบมากที่สุดในประเทศไทยได้แก่ ถ่านหินลิกไนต์ พบที่แม่เมาะ จ.ลำปาง และ
จ.กระบี่ จัดว่าเป็นลิกไนต์ที่คุณภาพแย่ที่สุด ในประเภทถ่านหินลิกไนต์พบว่าส่วนใหญ่มักมีเถ้าปนอยู่
มากแต่มีกำมะถันเพียงเล็กน้อย องค์ประกอบพอสรุปได้ว่ามีคาร์บอนคงที่อยู่ระหว่างร้อยละ 41 – 74
ปริมาณความชื้นอยู่ระหว่างร้อยละ 7 – 30 และเถ้าอยู่ระหว่างร้อยละ 2 – 45 โดยน้ำหนัก
(home) 2010124_56938.jpg
เหมืองแร่ถ่านหิน
2. น้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ มีสถานะเป็นของเหลวหนืดกึ่งของแข็ง
ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอน มีสีเหลืองอ่อน สีน้ำตาล สีน้ำตาลแก่ไปจนถึงสีดำ แบ่งออกเป็น 4
ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. แอสฟัลต์ เบส (Asphalt Base) มีพาราฟินหรือไขปนอยู่น้อย มีกำมะถัน ออกซิเจน
และไนโตรเจนปนอยู่ สูง เมื่อนำมากลั่นจะได้น้ำมันแก๊สโซลีนคุณภาพดี แต่มีตะกอนแอสฟัลต์หรือ
ยางมะตอยปริมาณมาก
2. พาราฟินเบส (Paraffin Base) มีพาราฟินหรือไขปนอยู่มาก เมื่อนำมากลั่นจะได้
น้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณภาพดีและให้น้ำมันก๊าดคุณภาพดีด้วย ขณะเดียวกันก็มีแอสฟัลต์น้อยหรือไม่มี
3. มิกซ์เบส (Mix Base) เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของทั้งแอสฟัลต์และไขพาราฟินปน
อยู่มากพอกัน เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันทุกชนิด แต่ปริมาณจะน้อยกว่า 2 ประเภทแรก
4. แนพธา (Naphthenic Crude) คล้ายก๊าซธรรมชาติเหลว พบไม่มาก
ในการนำน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้งานจะต้องนำน้ำมันดิบมาผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลง
เพื่อจัดระเบียบโมเลกุล ของสารประกอบในน้ำมันดิบเสียใหม่ให้เหมาะสม ในการนำไปใช้ประโยชน์
กระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่า การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งจะให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกมา ได้แก่
ก๊าซหุงต้ม( Liquefied Petroleum Gas) น้ำมันเบนซิน(Gasoline) น้ำมันก๊าด (Kerozene) น้ำมัน
เครื่องบิน น้ำมันดีเซล(Diesel) น้ำมันเตา (Fuel Oil) ไขมัน (Paraffin) และยางมะตอย (Asphalt)
3. ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเช่นเดียวกับน้ำมัน
ปิโตรเลียมและเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหมือนกัน มีสถานะเป็นก๊าซ ในการใช้งานก๊าซธรรมชาติจะ
ทำการแยกก๊าซธรรมชาติออกตามประโยชน์การใช้งาน ดังนี้
1. ก๊าซมีเทน ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้แทนน้ำมันเตาและใช้
เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมีและเมทานอล
2. ก๊าซอีเทน ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทิลีน
3. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และโปรเพน ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มใน
ครัวเรือน และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้า ซีเมนต์ ไฟฟ้า และใช้ใน
รถยนต์
4. ก๊าซธรรมชาติเหลว (Naturl Gasoline) ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันเบนซิน
จากก๊าซธรรมชาติ
5. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(home) 2010124_57086.jpg
แท่นขุดเจาะปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ

ก๊าซธรรมชาติ


ก๊าซธรรมชาติเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากการสะสมและทับถมของซากสิ่งมีชีวิตตามชั้นหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปี ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติซึ่งมีสาเหตุมาจากความร้อนและความกดดันของผิวโลก จนซากสัตว์และซากพืชหรือฟอสซิลนั้นกลายเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ในที่สุด เราจึงเรียกเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ว่า เชื้อเพลิงฟอสซิลในทางวิทยาศาสตร์ ต้นพืชและสัตว์ รวมทั้งคน ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆมากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากสัตว์และซากพืชทับถม และเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน พวกนี้จึงมีองค์ประกอบ ของสารไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่



.jpg

พลังงานสิ้นเปลือง



พลังงานสิ้นเปลืองหมายถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ก่อให้เกิดพลังงานที่เรานำมาใช้ประโยชน์แล้วหมดไป ไม่สามารถทดแทนหรือเกิดขึ้นใหม่ได้หรือไม่อาจสามารถเกิดทดแทนได้ในเวลาอันสั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดได้แก่

1.พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล หมายถึง พลังงานที่ให้ค่าความร้อนเป็นเชื้อเพลิงจากการทับถมกันของซากพืชซากสัตว์ เป็นเวลาล้านๆ ปีภายใต้ผิวโลกที่อุณหภูมิและความดันสูง เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หินน้ำมัน ทรายน้ำมัน เป็นต้น

2.พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิล เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิล หรือซากสัตว์ได้จากแร่ธาตุเมื่อใช้แล้วก็หมดไป เช่นกัน จึงเป็นพลังงานสิ้นเปลืองชนิดหนึ่ง เช่น พลังงานนิวเคลียร์ฟืน ถ่านไม้ เป็นต้น บ้างครั้งก็ให้พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานทดแทน เนื่องจากสามารถให้พลังงานได้สูงแหล่งพลังงานก็ยังมีอีกมาก ซึ่งแตกต่างจากน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เราจึงใช้พลังงานนิวเคลียร์ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง เชื้อเพลิงฟอซิล

พลังงานหมุนเวียน

พลังงานหมุนเวียน : ปรัชญาการใช้พลังงานอย่างสร้างสรรค์, ยั่งยืน และ พอเพียง
คำเตือน บทความนี้เป็นเพียงความคิดส่วนบุคลข้อมูลที่ได้มาหรือกล่าวไว้ อาจจะไม่แม่นยำนักในเรื่องตัวเลข และการจะหาแหล่งที่มาของข้อมูลหรือแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื้อถือได้ สามารถกระทำได้ แต่ได้โปรดอย่าเสียเวลาสำหรับการกระทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นนั้นเลย และขออย่าได้เชื่อในสิ่งที่อ่านโดยทันทีจนกว่าจะพิจารณาด้วยสามัญสำนึกของปราชญ์ที่มีในมโนสำนึกของตัวผู้อ่านเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------
นับตั้งแต่ มีการปฎิวัติอุตสาหกรรมที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นต้นมา มนุษยชาติ ได้มีการนำเชื้อเพลิงจากฟอสซิลมาผลิตเป็นพลังงานจำนวนมาก และก็มีการใช้เชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีการขุดพบบ่อน้ำมันปิโตรเลียมที่รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา พลังงานที่ผลิตขึ้นมามีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและสนองตอบ การขยายตัวทางอุตสาหกรรมอย่างใหญ่หลวง และที่สุดแล้วก็คือเพื่อสนองความสะดวกสบายของมนุษย์ กลุ่มประชากรของโลกที่มีการใช้พลังมากที่สุด และก็ฟุ่มเฟือยที่สุด คือ สหรัฐอเมริกาโดยคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นของพลังงานที่ผลิตได้ทั้งโลก รองลงมาคือประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นข้อมูลในอดีตไปแล้วเมื่อประเทศยักษ์ใหญ่ในทวีปเอเชีย อย่าง จีน และ อินเดีย กำลังพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของตัวเองอย่างรุ่นแรงและรวดเร็ว และแน่นอนว่า ทรัพยากรที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาที่ประเทศเหล่านี้ต้องการคือเชื้อเพลิง โดยเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ในความเป็นจริงไม่ใช่เฉพาะจีน กับอินเดียเท่านั้น ที่ต้องการพลังงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมากมาย แต่ประเทศต่างๆทั้งเอเชีย ก็มีความต้องการพลังงานมากมายเช่นกัน เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ต่างๆเหล่านี้ได้ลอกเลียนแบบมากจากกลุ่มประเทศ อุตสาหกรรมเป็นแบบอย่าง นั้นก็คือจะต้องพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศให้มีความเป็นแบบ ความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประชากรในทวีปยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มประชากรของโลกที่มีความเป็นอยู่ที่ดี สะดวกสบาย และถือว่าเป็นเป็นการพัฒนาอย่างแท้จริง ถ้าหากว่า จีน อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก รวมถึงประเทศอื่นๆ สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชากรให้ได้อย่าง ยุโรปหรืออเมริกา แล้วเราเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะต้องใช้พลังงานเท่าไหร่ แล้วจะทิ้งของเสียออกจากระบบมากมายขนาดไหน เพื่อความสะดวกสบายและความผาสุขอย่างที่เราต้องการกัน โลกของเรามีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่? อย่างไร? นานเท่าไหร่? แล้วโลกของเราสามารถที่จะบำบัดตัวเองเนื่องจากการทำลายจาก สารพิษ สารเคมี รวมทั้งของเสียต่างๆจากมนุษย์ ด้วยความสามารถระดับไหน เท่าไหร่?
ปัจจุบัน ทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐหรือของเอกชน เกือบจะทุกประเทศ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นั้นมีอยู่ในโลกของเราอย่างจำกัด และกำลังจะหมดในไม่ช้านี้ (อีก 30 ปี) แต่การประชาสัมพันธ์และการบอกกล่าวให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจยังเป็นแค่การเล่าเรื่องตลกในวงเหล้า แม้แต่ปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ยังเป็นเพียงแค่การเล่านิทานหลอกเด็ก เพียงแค่เป็นการสร้างกระแสชั่วครั้งชั่วคราว ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่ามันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงตามวัฎจักรของโลก คือมียุคน้ำแข็ง และยุคที่อากาศอบอุ่นขึ้น เป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เกิดจากการกระทำใดๆของมนุษย์เลย ดังนั้น จึงบอกให้คนอื่นๆใช้ชีวิตไปตามปกติเถิด(ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยอย่างที่เคย ทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างที่เคย) เมื่อมีแนวคิดหลากหลายเช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นอันตรายมาก มันเป็นอันตรายต่อชีวมลฑลที่เป็นสมบัติของส่วนรวมยิ่งนัก ส่วนเรื่องที่บอกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลใกล้จะหมดไปจากโลกเราแล้วเนื่องจากยังไม่มีการสำรวจพบแหล่งใหม่ๆเพิ่มเติม(น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีในความคิดของผู้เขียน) และจะเป็นข่าวร้ายยิ่งกว่า ถ้าหากว่ามีการค้นพบแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ไม่มีวันหมดหรือใช้ไปอีกเป็นพันปี เหตุที่ทำให้ผู้เขียนคิดเช่นนี้ เพราะว่า บรรยากาศของโลกมีขีดสามารถในการรองรับก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก (เพียงแค่ชั่วระยะเวลาไม่กี่ร้อยปี ตั้งแต่มีการปฎิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมามนุษย์ยังทำให้บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้) ถึงแม้จะสำรวจพบแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลแหล่งใหม่ ก็ไม่ควรขุดขึ้นมาใช้และจะเป็นการดีที่สุดคือหยุดการสำรวจอย่างสิ้นเชิง การตอบสนองความพึงพอใจให้ถึงที่สุดของมนุษย์ในเรื่องพลังงานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะบรรลุถึงได้เฉกเช่นหลุมดำที่ไม่เคยมีวันอิ่ม
ในทัศนะของผู้เขียนแล้วเกี่ยวกับเรื่องแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล(คิดเล่นๆนะ) มีคนเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุได้ น้ำมันดิบถึงอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากนัก บางแห่งอยู่ใต้ทะเลลึก อาจจะเป็นไปได้ว่า บรรพบุรุษของมนุษย์เราซึ่งเป็นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์(ก่อนยุคปิรามิดอียิป) พวกเขาเหล่านั้นได้รับประสบการณ์แล้วว่า การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสิ่งอันตรายต่อชีวมลฑลอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้อารยะธรรมมนุษย์ยุคนั้นล่มสลายลง จึงได้พยายามที่จะฝังกลบเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านี้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้แตกต่างกันมากนักกับผู้ที่เป็นพ่อแม่ที่เผลอเลอโดยเก็บซ่อนปืนไว้ใต้หมอนหรือในลิ้นชักโดยลืมล๊อคกุญแจ เมื่อลูกซึ่งไร้เดียงสาค้นพบเข้าก็เกิดความลิงโลดใจว่าได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์และมีพลังอำนาจเข้าให้แล้ว ก็เลยถือมาอวดเพื่อนๆที่มาเล่นด้วย จากนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ (อิอิ มนุษย์ผู้ปราดเปรื่อง)
แม้ว่าแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลจะถูกฝังกลบไว้ในชั้นดินหินที่ลึกมากก็ตาม กระนั้นมนุษย์ก็พยายามอย่างยิ่งยวดระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ขุดค้นมันขึ้นมาเพื่อเผา ทั้งๆที่รู้ว่า(อาจจะไม่รู้จริงก็ได้)ผลของมันที่เกิดขึ้นก็จะไม่แตกต่างเลยกับการที่คนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในห้องที่ปิดมิดชิดแล้วพร้อมใจกันสูบบุหรี่ และนั้นคือสิ่งที่สามัญสำนึกไม่อาจจะทำความเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ได้
เมื่อหันมาพิจารณาอีกมุมหนึ่ง คำว่าความเจริญ ที่เกิดจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม อย่างที่ทุกประเทศจะยึดถือและมุ่งไปให้ถึงนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นการพัฒนาโลกจริงหรือ ? มันเป็นความเจริญอย่างแท้จริงหรือไม่ ? ในมุมมองของผู้เขียนนั้น เข้าใจว่า คำว่าความเจริญ และการพัฒนาในนิยามที่คนส่วนมากเข้าใจอยู่ในปัจจุบันนี้ มันผิด ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจนิยามคำว่าการสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นกับโลกผิดไปก็ได้ ในความคิดของผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า การพัฒนาที่เรากำลังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้มันคือการทำลายโลก ความเจริญที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันคือความเสื่อม เหตุที่ผู้เขียนเข้าใจเช่นนี้ ก็เพราะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น มันเป็นไปในลักษณะที่สร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นสาระน้อยมากเลย คำถามที่เกิดขึ้น ก็คือว่า ถ้าหากเราเข้าใจว่า การที่เราพัฒนากันอยู่ในปัจจุบันนี้ทำให้โลกของเราเจริญขึ้น แล้วทำไมปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆถึงได้เกิดขึ้นมากมาย เช่น ดินเป็นพิษ อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ กระทั้ง อาหารก็เป็นพิษ ถ้าโลกเจริญขึ้นจริงอย่างที่เราเข้าใจกัน แล้วทำไม ความเจริญของโลกจึงไปเบียดเบียนสัตว์โลกในสายพันธ์อื่นๆ ทำให้สัตว์โลกในสายพันธ์อื่นๆต้องสุญพันธ์ไปอย่างมากมาย หรือแม้แต่มนุษย์เองบางเผ่าพันธุ์ก็ได้สูญพันธ์ไปจากโลกแล้ว แน่นอนว่าดัชนีชี้วัดของสิ่งแวดล้อมต่อความเหมาะสมในการดำรงชีวิตอยู่ของสัตว์ คือ ความหลากหลายทางชีววิทยา ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์สัตว์และพืช จนถึงความหลากหลายทางด้านอื่นๆที่เราไม่อาจมองเห็นได้หรือพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะรวมไปถึงความคิดและความเชื่อในศาสนาและลัทธิต่างๆด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้โลก เป็นโลกที่สมบูรณ์ เป็นโลกที่เหมาะสมและเอื้อเฟื้อต่อสรรพสิ่งให้ดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์อยู่ได้ ถ้าหากว่า เราใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน ไปทำร้าย ข่มเหง รังแก เบียดเบียน สัตว์ในสายพันธ์อื่นๆ หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง โดยการกระทำดังการเรามักจะอ้างว่าเป็นการพัฒนา หรือการสร้างอารยะธรรม หรือจัดระเบียบ อะไรก็แล้วแต่ ผู้เขียนเข้าใจว่ามันเป็นเหตุผลของผู้ไม่เจริญที่คิดเช่นนี้ และเมื่อมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ผู้เจริญแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่ผู้ไม่เจริญ จะสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นแก่โลกได้ สมมติว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราเหลือเพียงมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียว คำถามก็คือ มนุษย์เผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่นี้จะสามารถดำรงอยู่ได้หรือไม่ และนานขนาดไหน ? หากเราย้อนกลับไปที่ การใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเพื่อการพัฒนาความเจริญของเศรษฐกิจและความสะดวกสบายของมนุษย์ซึ่งทุกประเทศต่างก็แข่งขันกันพัฒนา อวดอ้าง การเจริญเติบโตของตัวเลข GDP ของประเทศ มุ่งเน้นโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนเร่งการกิน การใช้ทรัพยากรให้มากๆเยอะๆเข้าไว้ แข่งขันกันสะสมเศษกระดาษที่เรียกว่าเงินกันมากๆแล้ว คำถามมีอยู่ว่า ทำไมเราต้องเร่งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ? เราอยากให้ขนาดของเศรษฐกิจโตเท่าไหร่ ขนาดไหน? แล้วเรารู้หรือไม่ว่าขนาดที่โตมากที่สุดต้องเท่าไหร่? แล้วเมื่อมันโตถึงที่สุดแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อจากนั้น? หากเราเปรียบเทียบการพัฒนาเศรษฐกิจกับการเลี้ยงไก่ในฟาร์ม มันก็คงไม่แตกต่างกันนัก คือ ไก่ในฟาร์ม จะต้องถูกเลี้ยงด้วยหัวอาหารอย่างดี เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุด แล้วเมื่อไก่โตเต็มที่แล้ว ชีวิตมันจะลงเอยอย่างไร ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แล้วเราหล่ะต้องการให้ชีวิตเราเป็นอย่างนั้นหรือ? เราต้องการให้ระบบเศรษฐกิจของเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่? ถ้าหากว่าเรามองโดยองค์รวม เศรษฐกิจของโลก ที่ต้องการพลังงานอย่างมหาศาลเปรียบได้กับการเคลื่อนที่ของจรวดหรือบั้งไฟ เมื่อใดที่เชื้อเพลิงหมดมันก็จะตกกลับลงมา ทำไมเราจึงต้องพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เป็นอย่างนี้? เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เคลื่อนที่ไปแบบเรือขนส่ง คือไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนที่เร็วนัก แม้ว่าเชื้อเพลิงจะหมด ก็ไม่อันตรายจากการตกลงพื้นและยังสามรถลอยลำอยู่ได้ ยังพอมีเวลาที่จะคิดค้นหาพลังงานในรูปแบบอื่นๆ(ที่รบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด) มาใช้ทดแทนได้เพื่อการขับเคลื่อนต่อไป การเร่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้มีอัตราที่โตอย่างรวดเร็วและไร้ขีดจำกัดซึ่งสนองความต้องการความสะดวกสบายของมนุษย์ที่ก้าวล้ำเข้าไปอยู่ในขอบเขตของความฟุ้งเฟ้ออันไม่มีขีดจำกัดแล้ว มันอาจจะเป็นสาเหตุหลักของการเร่งเวลาแห่งการล่มสลายของอารยะธรรมนุษยชาติก็เป็นได้ แน่นอนหล่ะว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ซึ่งมันต้องเกดขึ้นตามกฎแห่งธรรมชาติอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่ามันจำเป็นหรือที่เราจะต้องมาช่วยกันเร่งวันดับของมวลมนุษย์ให้เร็วมากขึ้น การรักษาให้การเจริญเติบโตของ GDP เท่ากับศูนย์จะไม่ดีกว่าหรือ ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายว่ากิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างจะหยุดนิ่ง ใช้ทรัพยากรในระดับที่โลกพอจะค้ำจุนเราได้ ทิ้งของเสียในปริมาณที่โลกพอจะรองรับและบำบัดตัวเองได้ หยุดการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือหยุดฉายการ์ตูนหลอกเด็กซะทีว่า ในอนาคตอีกไม่ไกลนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างยานอวกาศที่สามารถขนถ่ายคนออกไปจากโลกนี้ได้ ซึ่งมันเป็นแค่ความเฟ้อฝันของคนบ้าเท่านั้น อันตรายของความเพ้อฝันนี้คือมันปลูกจิตสำนึกที่ชั่วร้ายให้เกิดขึ้นกับมนุษย์โดยเข้าใจว่าเรายังมีบ้านหลังที่สองรองรับเราอยู่เมื่อเราอุจจาระ ปัสสาวะ เต็มบ้านหลังนี้แล้ว เราก็จะสามารถย้ายไปอยู่หลังที่สองได้ นี่อย่างไรหล่ะคืออันตรายจากความเชื่อมั่นและศรัทธาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบสุดโต่ง จนทำให้มนุษยชาติลืมไปว่า เรามีบ้านหลังนี้เพียงหลังเดียว ไม่มีหลังที่สองไว้รองรับเราเลย ทำไมเราไม่รักและหวงแหนโลกใบนี้ เราจะเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ในสถานะไม่ต่างอะไรกับเชื้อ HIV ที่อาศัยอยู่ในร่างกายคนป่วยอย่างนั้นหรือ?
ความจริงก็คือว่า ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างยานอวกาศให้มีสภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่ากับโลกใบนี้ได้ เพราะโลกของเราโดยสภาพตัวมันเองก็คือยานอวกาศลำหนึ่งนั้นเอง แล้วมนุษย์จะโง่ทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ทำไมอีก มนุษย์โลกหรือแม้แต่วิญญาณ ไม่มีวันที่จะหลบหนีการกักกันภายในกำแพงแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกนี้ได้หรอก หรือแม้จะเป็นไปได้ก็อาจยังต้องเจอกำแพงแห่งความเวิ้งว้างของอาณาบริเวณที่ไร้ขอบเขตของห้วงอวกาศ มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะย้ายจากบ้านหลังนี้ ไปสู่บ้านหลังที่สองโดยพกพาเอาความละโมบโลภมากติดตัวไปด้วย และเราจะหนีจากโลกนี้ไปได้อย่างไรถ้าหากว่าแท้จริงแล้วเราก็ยังกำหนดตำแหน่งแห่งหนของตัวเราเองไม่ได้ว่าอยู่ห่างจากขอบที่คงที่ของมหาจักรวาลเท่าไหร่ แล้วเราจะมุ่งหน้าสู่ทิศทางใด? จุดคงที่สัมบูรณ์ของจักรวาลอยู่ที่ใด (ข่าวดีข่าวหนึ่งและข่าวร้ายข่าวหนึ่งที่อยากจะบอกนั้นคือ มีข่าวว่าอีกไม่เกินห้าร้อยปีข้างหน้าด้วยพื้นฐานด้านความรู้ทางเทคโนโลยีปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างยานอวกาศขนมวลมนุษย์ให้เดินทางไปในอวกาศได้ แต่ มีอีกข่าวหนึ่งที่อยากจะบอกคือว่า จากการคำนวณด้วยปัจจัยลบต่างๆในปัจจุบัน อารยะธรรมของมนุษยชาติจะถึงกาลอวสานในอีก ไม่เกินสามร้อยปีเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า อากาศที่ใช้หายใจไม่มีความสะอาดพอ) ด้วยคำกล่าวที่ว่ามนุษย์ก็เปรียบได้ดังคนตาบอดที่คลำทางด้วยไม้ทางแห่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งก็อาจจะจริง จากทัศนะคติของผู้เขียนแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วจุดคงที่สมบูรณ์ของจักรวาลนั้นมันมีอยู่ที่จิตอันบรรลุธรรมแล้วของมนุษย์ทุกคนเพียงแต่รอการค้นพบเท่านั้น
ก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญในหลายๆสาขาได้กล่าวเอาไว้ว่า การทำลายล้างสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติได้เคลื่อนผ่านจุดพลิกกลับของสถานการณ์ไปแล้ว นั้นก็คือแม้ว่ามนุษย์จะหยุดกิจกรรมทุกอย่างลงอย่างสิ้นเชิง ก็ไม่อาจจะทำให้สภาวะสิ่งแวดล้อมกลับมาได้เหมือนเดิม สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเปรียบได้กับรถโดยสารเบรกแตกที่กำลังวิ่งลงทางลาดชันของไหล่เขา แล้วเราจะปล่อยให้ให้อนาคตของอารยะธรรมนุษย์ดำเนินไปตามยถากรรมโดยไม่ได้ลุกขึ้นมาเพื่อกระทำการแก้ไขอะไรเลยอย่างนั้นหรือ? หรือเพียงนั่งสวดมนต์ ภาวะนาของพอจากสิ่งศักดิ์ หรือเพียงแค่ชี้มือไปที่คนอื่นแล้วเรียงร้องให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงก่อน ส่วนตัวเราก็ทำตัวตามปกติอย่างที่เคยเป็น การหาทางแก้ไขหรือทางออกของปัญหาที่ใหญ่โตนั้นบางครั้งดูเหมือนว่าตัวเราเพียงคนเดียวไม่อาจจะแก้ปัญหาใดๆได้เลย หรือการกระทำในสิ่งที่เป็นการแก้ปัญหาอาจจะส่งผลเพียงเล็กน้อยแทบจะไร้ผลกระทบในทางบวก แต่นั้นมันก็แสดงออกให้เห็นถึงมโนสำนึกแห่งความถูกต้องอันดีงามที่ยิ่งใหญ่แล้วเพียงแต่เราหาญกล้า อย่างเปลี่ยนแปลงตัวเอง รักษาจิตสำนึกของการประหยัดทรัพยากรในทุกรูปแบบพร้อมทั้งปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าทุกคนในสังคมทำได้อย่างนี้ ปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กทันใด ปัญหาที่คิดว่าอาจจะแก้ใขไม่ได้แล้ว ก็อาจจะแก้ไขได้ ถ้าหากตัวเรามีจิตสำนึกที่ดีงามและความพยายามมากพอ อย่างที่มีคำกล่าวว่าพระเจ้าจะเข้าข้างและอวยพรสำหรับคนที่ มีความพยายามเสมอ ดังในนิทานซึ่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทยทรงได้นิพนธ์ ไว้เรื่องพระมหาชนก
หนทางที่ในการแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่นี้ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตามทัศนะของผู้เขียนแล้วมองเห็นว่าแนวเศรษฐกิจแบบพอเพียง พร้อมด้วยการเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่พระราชทานโดย องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทยทรงได้ออกแบบไว้เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มนุษยชาติสามารถดำรงเผ่าพันธุ์และอารยะธรรมเอาไว้ให้นานกว่านี้ได้ การศึกษาระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นทุกๆคนจะต้องกระทำและจะต้องกระทำด้วยความจริงใจและเข้มข้น ต้องศึกษาให้เข้าใจด้วยจิตสำนึกดีงามแห่งความรับผิดชอบต่อสิทธิของผู้อื่นที่อาศัยอยู่ในยานอวกาศโลกลำนี้เท่านั้น เป็นทฤษฎีที่ทุกคนและหน่วยงาน องค์กรต่างๆสามารถปฎิบัติได้ในชีวิตประจำวันโดยเพียงแค่เสียสละความฟุ้งเพ้อสะดวกสบายเท่านั้น กระทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมเท่าที่จำเป็น รู้จักความพอดี พอประมาณโดยถือเอาการไม่ใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยเป็นบรรทัดฐาน แน่นอนว่า การลดความฟุ่มเฟือยลงย่อมไม่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องคิดว่ามีชิวิตอยู่อย่างยากลำบากบ้าง(แต่ก็ได้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมีเหตุมีผล)และแน่นอนว่าการที่ลดหรือตัดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆลงไปนี้ จะส่งผลให้อีกหลายชีวิตได้มีโอกาสได้กินอาหารอิ่มท้อง ได้มีสิ่งแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นเพียงพอแก่อัตภาพสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ ในส่วนของการเกษตรทฤษฎีใหม่นั้นไว้เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรรมที่ต้องการปลดปล่อยตัวจากการครอบงำของระบบทุนนิยมแบบสามานย์(บริโภคนิยม บันเทิงนิยม) จะเหมาะสมที่สุด และเป็นระบบที่จะสามารถทำให้ตัวผู้ปฎิบัติสามรถที่จะมีชีวิตและนำพาครอบครัวได้อย่างมั่นคง เป็นการลดการพึ่งพาจากภายนอกให้มากที่สุด แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่จะตัดตัวเองออกจากระบบขนาดใหญ่ ส่วนเรื่องของการปฎิบัตินั้นได้ระบุ ขั้นตอนและวิธีการไว้อย่างชัดเจนซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้แทบจะทุกแห่งหนในโลกใบนี้ หากศึกษาให้ทฤษฎีให้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจะเห็นถึงความชาญฉลาดของ กษัตริย์นักพัฒนา แห่งประเทศไทยได้ ซึ่งพระองค์ทรงเข้าใจถึงระบบความสมดุลแห่งสรรพสิ่งที่สามารถอยู่ร่วมกันและเกื้อกูลกันได้ในระบบชีวมลฑลขนาดเล็กๆที่เป็นฟาร์มของเกษตรกรโดยอาศัยหลักพื้นฐานแห่งความสมดุลพร้อมด้วยพลังงานจากแสงอาทิตย์และการจัดการที่จำเป็นเท่านั้น จากนั้นระบบก็สามารถที่จะให้อาหารส่วนเกินแก่คนได้
เรื่องของการผลิตพลังงานเพื่อใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์นั้น เฉพาะแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกในแต่ละวัน ถ้าหากว่าเรามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยจะต้องยึดถือว่าการเปลี่ยนนั้นมีกิจกรรมที่ส่งผลกระทบทางลบแก่สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดแล้ว เราก็สามารถทำได้และพอเพียงแก่การดำรงชีวิตอยู่ได้หากแต่ไม่อาจสนองความฟุ่มเฟือยแบบฟุ้งเฟ้อได้เท่านั้น แหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ก่อให้เกิดการสะสมพลังงานไว้ในพืช ในรูปของ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ทำให้พืชเจริญเติบโต และสะสมพลังงานไว้ในทุกส่วนของลำต้นและเมล็ด พลังงานจากดวงอาทิตย์ เป็นสาเหตุของการเคลื่อนที่ของอากาศและการไหลของกระแสน้ำ เราสามารถที่จะพัฒนาเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนพลังงานเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่เราได้ หรือแม้แต่การเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยตรงไปเป็นพลังงานไฟฟ้าก็สามารถทำได้ ในส่วนการเปลี่ยนพลังงานจากชีวมวลไปเป็นพลังงานไฟฟ้านั้นก็สามารถทำได้โดยจะต้องมีวางแผนและการจัดการการนำมาใช้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อมีการตัดต้นไม้เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปลูกทดแทนอย่างทันทีทันใด และจะต้องมีการดูแลบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกทดแทน จนกว่าจะสามารถตัดฟันมาใช้ได้อีกในรอบถัดไป สำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากชีวมวลนั้นมีขั้นตอนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ก็สามารถทำได้ คนในท้องถิ่น หรือชมชุนสามารถที่จะจัดการบริหารเองได้ นั้นหมายความว่าทุกชมชนสามารถที่จะผลิตพลังงานใช้เองได้อย่างเพียงพอ และถ้าหากทุกๆชุมชนสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายสายส่งไฟฟ้าเข้าด้วยกันได้แล้ว ก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง ก็จะทำให้เกิดเครือข่ายแห่งการผลิตพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเรียกว่า การผลิตพลังงานแบบกระจายศูนย์ ในส่วนการสร้างโรงงานผลิตพลังแบบรวมศูนย์ขนาดใหญ่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีขั้นสูง หรือแม้แต่กานนำเข้าเชื้อเพลิง จะต้องมีทีมผู้บริหารจัดการระบบที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากนี้แล้วสร้างโรงผลิตพลังงานแบบรวมศูนย์ยังส่งผลกระทบทางลบต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวางและยาวนานด้วย ทั้งยังเป็นสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจและสังคมด้วย
หากเชื่อมโยงระบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับ การผลิตและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนแล้วจะเห็นว่าทุกประเทศสามารถที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงได้และทุกประเทศสามารถที่จะพึ่งพิงตัวเองจากพลังงานที่ผลิตได้ในประเทศ อาจจะกล่าวได้ว่าเกินครึ่งของพลังงานที่ต้องการใช้ภายในประเทศ(อย่างเช่นประเทศเดนมาร์ค) เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่ามนุษยชาติได้ช่วยกันลดการทำลายสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรของโลกเพื่อเป็นการยับยั้งและชะลอความเร็วเวลาแห่งการล่มสลายของอารยะธรรมมนุษย์ไว้ได้